ปวดเกร็งท้อง เป็นอาการที่ทำให้รู้สึกปวดบีบภายในช่องท้องเป็นช่วงๆ อาการเหล่านี้จะดีขึ้นและหายได้เองเมื่อผ่านไปไม่นาน ขึ้นอยู่กับสาเหตุของการเกิดอาการ แต่ถ้ามีอาการปวดท้องมากกว่า 1 ชั่วโมงขึ้นไป จะไม่เข้าข่ายอาการปวดเกร็งท้อง แต่จะเอนเอียงไปทางอาการจุกเสียดมากกว่า และอาการปวดท้องเกิดขึ้นได้หลายบริเวณ ซึ่งบ่งบอกโรคที่แตกต่างกัน

ปวดเกร็งท้อง มีอาการอย่างไร

ปวดเกร็งท้อง เป็นอาการที่ทำให้รู้สึกปวดเกร็งหรือปวดบีบภายในช่องท้องเป็นช่วงๆ  ซึ่งสามารถพบได้ทั้งระดับที่ไม่รุนแรง ปานกลาง ไปจนถึงรุนแรง อาการปวดเกร็งท้องอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งปัญหาสุขภาพทั่วไป ไปจนถึงโรคเรื้อรัง

โดยทั่วไป อาการปวดเกร็งท้องอาจดีขึ้นและหายได้เองเมื่อผ่านไปไม่นาน และสามารถบรรเทาอาการด้วยตนเองได้หลายวิธี ในบทความนี้ได้นำข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุของอาการปวดเกร็งที่ท้องที่พบได้ทั่วไปและวิธีดูแลตัวเองแบบง่ายๆ เมื่อเกิดอาการปวดเกร็งท้อง

สาเหตุของอาการ

อาการปวดบีบหรือปวดเกร็งท้องที่ท้องเกิดได้จากหลายสาเหตุและปัจจัย ดังนี้

  • อาการปวดประจำเดือน

สาวๆ หลายคนอาจเคยเผชิญกับอาการปวดท้องในช่วงก่อนประจำเดือนมาและช่วงที่มีประจำเดือน อาการดังกล่าวอาจให้ความรู้สึกปวดเกร็งท้องหรือปวดบีบบริเวณท้องน้อย หรืออาจรู้สึกปวดหน่วงๆ ทั้งยังอาจปวดสะโพก ต้นขาด้านใน และหลังส่วนล่างร่วมด้วย

อาการปวดเกร็งท้องเนื่องจากประจำเดือนอาจส่งผลให้มีอาการปวดหลายระดับ ตั้งแต่อาการปวดระดับไม่รุนแรง ปานกลาง และรุนแรงได้ ซึ่งส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ทั้งนั้น โดยอาการปวดท้องจากประจำเดือนอาจดีขึ้นเอง แต่หากปวดท้องประจำเดือนติดต่อกันเกิน 2–3 วัน อาเจียน หรือท้องเสีย ควรไปพบแพทย์

  • ปัญหาเกี่ยวกับลำไส้

อาการปวดท้องเป็นสัญญาณที่พบได้บ่อยเมื่อลำไส้หรือระบบทางเดินอาหารเกิดความผิดปกติ โดยความผิดปกติต่อไปนี้อาจทำให้เกิดอาการปวดเกร็งท้องได้

  • อาการท้องอืดและอาหารไม่ย่อยมักจะทำให้ปวดเกร็งบริเวณท้อง ไม่สบายท้อง ซึ่งอาจเป็นผลจากการกินอาหารบางประเภทและผลจากการเคลื่อนตัวของลำไส้ที่ผิดไปจากเดิม
  • กลุ่มอาการอาหารเป็นพิษจากการติดเชื้อในทางเดินอาหารและการได้รับสารเคมีจากอาหาร ทำให้เกิดอาการปวดท้อง เป็นไข้ ท้องเสีย และคลื่นไส้อาเจียน โดยสาเหตุอาจเกิดจากการกินอาหารที่ไม่สุก อาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ อาหารหมดอายุ และอาหารที่ใช้สารเคมีเพื่อยืดอายุ
  • ภาวะไวต่อน้ำตาลแล็กโตส (Lactose Intolerance) พบได้เฉพาะบางคนเท่านั้น โดยจะพบอาการปวดบีบที่ท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน ท้องอืด และอาหารไม่ย่อย หลังจากกินอาหารที่มีน้ำตาลแล็กโตส เช่น ขนมปัง นมวัว โยเกิร์ต ชีส ไอศกรีม และอาหารที่มีนมวัวเป็นส่วนประกอบ
  • โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง อย่างโรคโครห์น (Crohn’s Disease) และโรคลำไส้อักเสบ (Ulcerative Colitis) ซึ่งเป็นความผิดปกติของลำไส้ที่ต้องการการรักษาจากแพทย์ร่วมกับการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจเป็นอันตราย

นอกจากนี้ อาจมีปัญหาด้านลำไส้และระบบทางเดินอาหารอื่นๆ ที่ส่งผลให้เกิดอาการปวดเกร็งที่ท้องได้เช่นกัน หากอาการปวดเกร็งท้องหรืออาการด้านลำไส้อื่นรุนแรงขึ้นหรือไม่สามารถหาสาเหตุได้ ควรไปแพทย์

  • การตั้งครรภ์

คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อาจพบกับอาการปวดเกร็งท้องหรือปวดบีบที่ท้องได้เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นอาการที่พบได้ทั่วไป ไม่อันตราย และไม่รุนแรงเท่ากับอาการปวดท้องประจำเดือน โดยคุณแม่อาจพบอาการปวดเกร็งดังกล่าวบริเวณท้องน้อยในช่วงที่ท้องอืดหรือมีแก๊สในกระเพาะ และในช่วงที่ทารกกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในครรภ์ของคุณแม่

ในช่วงตั้งแต่ต้นไตรมาสที่ 3 คุณแม่อาจพบกับอาการเจ็บท้องหลอก (Braxton-Hicks Contractions) ที่จะทำให้เกิดอาการเกร็งที่ท้องน้อยมากกว่าปกติ แต่มักไม่ทำให้รู้สึกเจ็บปวด คุณแม่หลายคนจึงคิดตัวเองกำลังจะคลอดทารก ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นเพียงการเจ็บหลอกเท่านั้น หากคุณแม่พบอาการเจ็บหลอกหรือกังวลเกี่ยวกับอาการดังกล่าว ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์

อย่างไรก็ตาม หากคุณแม่พบอาการปวดท้องรุนแรงขณะตั้งครรภ์ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นทั้งสัญญาณการคลอดทารกและภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์

สาเหตุและรูปแบบของอาการปวดเกร็งท้องเหล่านี้อาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสาเหตุและปัจจัยที่พบได้บ่อยเท่านั้น หากพบอาการปวดเกร็งท้องที่รุนแรง ปวดติดต่อกันหลายวัน อาการไม่ดีขึ้น หรือพบอาการผิดปกติอื่นๆ ควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาด้วยวิธีที่เหมาะสม

ปวดเกร็งท้อง

วิธีรักษาอาการปวดเกร็งท้องด้วยตัวเอง

ในเบื้องต้นอาการปวดเกร็งท้อง อาจบรรเทาหรือรักษาได้ด้วยวิธีต่อไปนี้

  • พักผ่อนร่างกาย

การนอนหลับพักผ่อนจะช่วยฟื้นฟูร่างกายจากการใช้งานและการเจ็บป่วยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดเกร็งหน้าท้องจากการมีประจำเดือน การตั้งครรภ์ อาการอาหารเป็นพิษ และอาการอื่นๆ

  • ประคบร้อน

การประคบร้อนด้วยวิธีต่างๆ เช่น การอาบหรือแช่น้ำอุ่น การใช้แผ่นแปะแก้ปวด หรือการใช้ถุงน้ำร้อนพันผ้าประคบท้องจนรู้สึกดีขึ้น โดยความร้อนจะช่วยให้หลอดเลือดขยาย ส่งผลให้เลือดไหลเวียนได้ดี จึงอาจช่วยให้กล้ามเนื้อหน้าท้องคลายตัว และลดอาการปวดจากการหดเกร็งได้ แต่ควรระมัดระวังอุณหภูมิของอุปกรณ์ที่ใช้ประคบไม่ให้ร้อนจนเกินไป

  • ดูแลสุขภาพลำไส้

ในส่วนของสาเหตุจะเห็นได้ว่า มีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารจำนวนไม่น้อยที่ส่งผลเกิดอาการปวดเกร็งท้องและอาการปวดท้อง การดูแลสุขภาพลำไส้อย่างเหมาะสมในช่วงที่มีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น โดยอาจเริ่มจาก

– เลี่ยงอาหารรสจัด กินอาหารรสอ่อนและย่อยง่าย โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคลำไส้ ท้องเสีย หรืออาเจียน

– งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มคาเฟอีน

– กินอาหารที่ปรุงสุก สดใหม่อยู่เสมอ

– ลองดื่มน้ำสมุนไพรหรือชาสมุนไพรที่ช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง ท้องอืด อาหารไม่ย่อย เช่น ชาคาโมมายล์และน้ำขิง

– เคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน ไม่กินอาหารเร็วเกินไป หรือแบ่งมื้ออาหารออกเป็นหลายมื้อย่อย แทนการกิน 3 มื้อหลักเพื่อช่วยให้ร่างกายย่อยอาหารได้ดีขึ้น

  • ใช้ยารักษา

หากลองวิธีรักษาในข้างต้นแล้วอาการไม่ดีขึ้นหรือพบอาการรุนแรง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจและรักษาอย่างเหมาะสม โดยแพทย์อาจสั่งจ่ายยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการปวดท้อง และยาอื่นๆ ตามสาเหตุที่แพทย์พบ เช่น ยาช่วยย่อยสำหรับอาการอาหารไม่ย่อย หรือยาลดกรดสำหรับอาการท้องอืด

ก่อนใช้ยาหรือซื้อยาทุกครั้ง ควรแจ้งแพทย์และเภสัชกรถึงอายุ โรคประจำตัว ยาที่ใช้ ยาที่แพ้ สถานะการตั้งครรภ์ และการให้นมลูก รวมทั้งใช้ยาตามที่แพทย์และเภสัชกรแนะนำอย่างเคร่งครัด ภายหลังการใช้ยา หากอาการไม่ดีขึ้น รุนแรงขึ้น หรือพบอาการผิดปกติอื่นๆ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง

อาการปวดเกร็งท้องอาจลดความเสี่ยงได้ด้วยการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายเป็นประจำ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ สำหรับคนที่มีโรคประจำตัวที่เสี่ยงต่ออาการปวดท้อง ควรดูแลตนเองตามที่แพทย์แนะนำและไปพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามอาการ

ปวดท้องจุดไหนบอกอะไรบ้าง

  1. ชายโครงขวา เป็นจุดของตับและถุงน้ำดี หากกดแล้วเจอก้อนแข็งๆ ประกอบกับอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ก็จะหมายถึง ความบกพร่องเกี่ยวกับตับหรือถุงน้ำดี ปวดมาก แนะนำควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียด
  1. ใต้ลิ้นปี่ หรือกลางตัว บริเวณตรงซี่โครงซี่ล่างสุด (กลางตัว) หมายถึง กระเพาะอาหาร ตับอ่อน ตับและกระดูกลิ้นปี่
  • หากปวดเป็นประจำเวลาหิวหรืออิ่ม อาจเกี่ยวกับโรคกระเพาะ
  • หากปวดรุนแรงร่วมกับคลื่นไส้อาเจียน อาจเป็นอาการตับอ่อนอักเสบ
  • หากคลำเจอก้อนเนื้อค่อนข้างแข็งและมีขนาดใหญ่ อาจเป็นอาการตับโต (ควรรีบปรึกษาแพทย์)
  • คลำได้ก้อนสามเหลี่ยมแบนเล็กๆ อาจเป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกลิ้นปี่ ควรปรึกษาแพทย์
  1. ปวดชายโครงขวา ซึ่งเป็นตำแหน่งของม้าม แนะนำปรึกษาแพทย์ทันที
  2. ปวดบั้นเอวขวา โดยมากจะพบกันบ่อยในผู้หญิง ตำแหน่งนี้คือ ท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่
  • อาการปวดมาก หมายถึง ลำไส้ใหญ่อักเสบ
  • อาการปวดร้าวถึงต้นขา อาการเริ่มต้นของนิ่วในท่อไต
  • อาการปวดร่วมกับปวดหลัง มีไข้ หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่น เป็นอาการของกรวยไตอักเสบ
  • หากคลำเจอก้อนเนื้อ แนะนำปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียด
  1. ปวดรอบสะดือ เป็นตำแหน่งลำไส้เล็ก มักพบในคนที่มักท้องเดิน
  • หากกดแล้วปวดมาก คือ อาการของโรคไส้ติ่งอักเสบ
  • แต่ถ้าปวดแบบมีลมในท้องด้วย อาจแค่กระเพาะลำไส้ทำงานผิดปกติ
  1. ปวดบั้นนเอวซ้าย เป็นตำแหน่ง ท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่ (เหมือนข้อ 4)
  2. ปวดท้องน้อยขวา เป็นตำแหน่ง ไส้ติ่ง ท่อไตและปีกมดลูก
  • หากปวดเกร็งเป็นระยะๆ แล้วร้าวมาที่ต้นขา หมายถึง กรวยไตผิดปกติ
  • ปวดเสียดตลอดเวลา กดแล้วเจ็บมาก เป็นอาการของไส้ติ่งอักเสบ
  • ปวดร่วมกับมีไข้สูง หนาวสั่น มีตกขาว เป็นอาการปีกมดลูกอักเสบ
  • คลำแล้วเจอก้อนเนื้อ เบื้องต้นอาจเป็นก้อนไส้ติ่งหรือรังไข่ผิดปกติ
  1. ปวดท้องน้อย เป็นตำแหน่ง กระเพาะปัสสาวะและมดลูก
  • ปวดเวลาถ่ายปัสสาวะหรือถ่ายกระปริบกระปรอย เป็นอาการของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ (แต่เป็นกันน้อย)
  • หากปวดเกร็งเวลามีประจำเดือน เป็นอาการของคุณกำลังมีประจำเดือน
  1. ปวดท้องน้อยซ้าย เป็นตำแหน่ง ปีกมดลูกและท่อไต
  • ปวดเกร็งเป็นระยะและร้าวมาที่ต้นขา เป็นอาการโรคนิ่วในท่อไต
  • ปวดร่วมกับมีไข้ หนาวสั่น ตกขาว เป็นอาการโรคมดลูกอักเสบ
  • ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติ เป็นอาการโรคลำไส้ใหญ่อักเสบ
  • คลำพบก้อนร่วมกับอาการท้องผูกเป็นประจำ เป็นอาการโรคเนื้องอกในลำไส้

ปวดเกร็งท้อง

การป้องกันอาการปวดเกร็งท้อง

เนื่องจากอาการปวดเกร็งท้องเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งสาเหตุที่สามารถควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ วิธีป้องกันจึงแตกต่างกันไปตามต้นเหตุ เช่น

  • การป้องกันจากความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร สามารถทำได้โดยปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารให้เหมาะสม รับประทานอาหารให้ตรงเวลา ไม่รับประทานครั้งละมากๆ หรือเร็วเกินไป หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดและการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มากเกินไป รวมถึงเลือกรับประทานอาหารที่สะอาด ถูกสุขอนามัย และล้างมือก่อนรับประทานอาหารเสมอ
  • การป้องกันอาการที่เกิดจากระบบสืบพันธุ์ นั่นคือการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย เช่น สวมถุงยางอนามัยทุกครั้ง ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ นอกจากนี้ผู้หญิงที่มีอาการปวดท้องน้อยบ่อยๆ หรือปวดรุนแรงขณะมีประจำเดือนและปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุของอาการที่แน่ชัด
  • การป้องกันจากอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อหน้าท้อง โดยให้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ต้องออกแรงกดที่หน้าท้องมากๆ เช่น การยกของหนัก การออกกำลังกายที่หักโหมเกินไป และระวังการเกิดอุบัติเหตุที่มีการกระแทกรุนแรง
  • การป้องกันจากความผิดปกติในระบบทางเดินปัสสาวะ โดยให้หลีกเลี่ยงการกลั้นปัสสาวะนานๆ ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อร่างกายในแต่ละวัน และดูแลสุขอนามัยให้ดีอยู่เสมอ

 

อาการปวดเกร็งท้องเกิดได้จากหลายสาเหตุ บางสาเหตุก็อาจรุนแรงและอันตรายถึงชีวิตได้ หมั่นสังเกตตนเองและคนใกล้ตัวหากมีอาการปวดท้องบ่อยๆ ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยจะดีที่สุด

 

เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพอื่นๆ ที่น่าสนใจ

 

ที่มาของบทความ

 

ติดตามเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพได้ที่ hakkarepublic.com

สนับสนุนโดย  ufabet369