Featured News
Posts List
Posts Slider
Health
-
อาการปวดหัว เดี๋ยวปวด-เดี๋ยวหาย รีบรักษาก่อนสายไป
อาการปวดหัวเรื้อรัง เป็นอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นมากกว่า 15 วันต่อเดือน โดยมักมีอาการปวดที่ติดต่อกันอย่างน้อย 3 เดือน ซึ่งอาการดังกล่าวอาจเป็นการปวดหัวที่เกิดจาก ความเครียด, ไมเกรน, การกินยาแก้ปวดเกินขนาด, การใช้ยาแก้ปวดไม่ถูกต้อง หรืออาจเกิดจากโรคต่างๆ ภายในร่างกาย ทำให้เกิดเป็นอาการปวดหัวเรื้อรังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ การปวดหัวเรื้อรังอาจไม่ใช่การปวดหัวธรรมดา แต่อาจเกิดจากความผิดปกติของร่างกาย
อาการปวดหัวเรื้อรัง สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1.ปวดหัวเรื้อรังแบบเป็นอันตราย
โดยอาการปวดหัวดังกล่าวอาจเกิดจากสาเหตุของโรคต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง เนื้องอกในสมอง ฯลฯ ซึ่งต้องได้รับการตรวจรักษาโดยด่วน2.ปวดเรื้อรังแบบไม่เป็นอันตราย
แต่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน คืออาการปวดหัวที่เกิดขึ้น จากความเครียด การทำงาน อาการตึงของกล้ามเนื้อ ซึ่งอาการดังกล่าวถึงแม้ว่าจะไม่เป็นอันตราย แต่ก็ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันซึ่งหลายคนมักคิดว่าแค่อาการปวดหัวซื้อยามากินก็หาย หรือเป็นแค่อาการปวดตึงกล้ามเนื้อ แค่ไปนวดเดี๋ยวอาการก็ดีขึ้น แต่ความจริงแล้วการที่เรารักษาเองอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น ใช้ยาเกินขนาดจนส่งผลต่อตับและไต หรือกระทั่งการนวดคลายกล้ามเนื้อที่รุนแรง จนทำให้กล้ามเนื้อและเส้นเลือดบาดเจ็บกลายเป็นปัญหาปวดหัวเรื้อรัง
แม้ว่าการปวดหัวอาจไม่ได้เกิดจากโรคร้ายแรง แต่หากมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วยควรรีบไปพบแพทย์ เพราะอาจเกิดจากภาวะเลือดออกในสมอง หรือมีอาการติดเชื้อในระบบประสาทได้
- ปวดหัวแบบรุนแรงและมักเกิดขึ้นทันที
- ปวดหัวและรู้สึกว่ามีไข้ มีอาการคอแข็งร่วมด้วย
- รู้สึกว่าแขนขาอ่อนแรง มีความผิดปกติเกิดขึ้น
- มีอาการปวดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ กินยาแล้วไม่ทุเลา
ป้องกันการปวดหัวได้ดีที่สุด คือการ “ดูแลตัวเอง” หมั่นสังเกตตัวเองว่าอะไรคือสิ่งกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัว เพราะสิ่งกระตุ้นของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไป เมื่อรู้แล้วก็ควรหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านั้น และหากพบว่าอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นนั้นผิดปกติไปจากการปวดหัวทั่วไป ก็ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษา อย่าปล่อยนานจนทุกอย่างสายเกินจะแก้ไข
ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพได้ที่ hakkarepublic.com
Economy
-
“สุพัฒนพงษ์” ออกตัวเป็น “รัฐบาลรักษาการ”
“สุพัฒนพงษ์” ออกตัวเป็น “รัฐบาลรักษาการ” ต้องทำใจ! ค่าไฟบ้าน พ.ค.- ส.ค.ขึ้น 0.05 สต.
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน กล่าวถึงอัตราค่าไฟฟ้าที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประกาศอัตราค่าไฟฟ้าเดือน พ.ค.-ส.ค.ปีนี้ที่ 4.77 บาทต่อหน่วย เหลืออัตราเดียวทั้งภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม โดยในส่วนของภาคครัวเรือนนั้นค่าไฟฟ้าปรับขึ้น 0.05 สตางค์ต่อหน่วยว่าในเรื่องนี้ได้รับรายงานมาจาก กกพ.แล้ว ได้มีการสอบถามข้อมูลว่าการคำนวณอัตราค่าไฟนั้นทำถูกต้องหรือไม่ ทั้งในส่วนต้นทุนของการผลิตไฟฟ้า และในส่วนที่คำนวณที่เกี่ยวข้องกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.)
ต่อข้อถามที่ว่าอัตราค่าไฟที่ 4.77 บาทต่อหน่วยนั้น ถือว่าเพิ่มขึ้น ซึ่งแตกต่างจากที่รัฐบาลเคยบอกว่าจะตรึงค่าไฟฟ้าเอาไว้สำหรับภาคครัวเรือนที่ 4.72 บาทต่อหน่วยนั้น นายสุพัฒนพงษ์กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าทำอะไรไม่ได้มากเนื่องจากตอนนี้เป็น ครม.รักษาการแล้วไม่ได้มีอำนาจเต็ม
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของค่าไฟฟ้าที่ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือนที่รัฐบาลได้ช่วยเหลือมาต่อเนื่องและได้มีการของบประมาณจากงบกลางรายการสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินและจำเป็นปี 2566 ไว้ช่วยเหลือประชาชนในเดือน เม.ย.แล้ว หลังจากนั้นในเดือนต่อๆไปก่อนที่จะมีรัฐบาลใหม่ รัฐบาลก็พร้อมจะเสนอ ครม.เพื่อของบกลางฯเพิ่มเติม โดยเมื่อ ครม.อนุมัติแล้วก็จะขอความเห็นชอบในการใช้งบประมาณจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (ก.ก.ต.) เพื่อให้สามารถใช้งบประมาณในส่วนนี้ได้
สำหรับกรณีที่นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ที่ปรึกษานโยบายของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงนโยบายลดราคาแก๊สหุงต้ม 15 กิโลกรัม เหลือถังละ 250 บาทว่า ต้องถามว่าทำได้จริงหรือไม่ เพราะทำแล้วมีค่าใช้จ่ายมาก ใครอยากจะพูดอะไรก็ต้องดูว่าทำแล้วเหมาะสมหรือไม่ และเป็นภาระประเทศหรือไม่ พูดแล้วก็ต้องรับผิดชอบด้วย.
ขอบคุณรูปภาพจาก : thairath.co.th
ขอบคุณแหล่งที่มา : thairath.co.th
สามารถอัพเดตข่าวสารเรื่องราวต่างๆได้ที่ : hakkarepublic.com
Posts Carousel
Latest News
เรอัล มาดริด เตรียมเจรจา แฮร์รี่ เคน มาแทนที่ คาริม เบนเซม่า
เรอัล มาดริด เตรียมเจรจา ...
เกลเซอร์ อาจชะลอการขาย แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ไปจนถึงฤดูร้อน
ตระกูล เกลซอร์พิจารณาการข...